"ประภัตร" สั่งวางแผนปลูกข้าวให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ หลังประเมินปริมานน้อย

“ประภัตร” สั่งวางแผนปลูกข้าวให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ หลังประเมินปริมานน้อย

Share on facebook
Share on twitter
Share on email

“ประภัตร” สั่งวางแผนปลูกข้าวให้สอดคล้องกับตลาด ตั้งเป้าพื้นที่ผลิต 66 ล้านไร่ หลังประเมินปริมานน้อย พร้อมถกการบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการเพาะปลูก จากปัญหาฝนทิ้งช่วงแนะชาวนาควรปลูกข้าวช่วงเดือนสิงหาคม

นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต ว่าที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าว การวางแผนการข้าว และพื้นที่เป้าหมายส่งเสริมการปลูกข้าว ปีการผลิต 2564/65 โดยเห็นควรให้มีการแบ่งประเภทข้าวเพื่อให้การเพาะปลูกมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ได้ผลผลิตในแต่ละชนิดข้าวที่มีความสอดคล้องทั้งในส่วนของ Demand และ Supply  โดยจะแบ่งเป็น 5 ชนิดข้าว ประกอบด้วย 1) ข้าวหอมมะลิ  2) ข้าวหอมไทย  3) ข้าวเจ้า ซึ่งจำแนกเป็นข้าวเจ้าพื้นนุ่มและข้าวเจ้าพื้นแข็ง 4) ข้าวเหนียว 5) ข้าวตลาดเฉพาะ ซึ่งพื้นที่ส่งเสริมการปลูกข้าวปีการผลิต 2564/65 นั้น ได้กำหนดไว้ทั้งสิ้น 66 ล้านไร่ โดยปรับลดพื้นที่ปลูกลงจากปีการผลิต 2563/2564 ประมาณ 3 ล้านไร่

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้ร่วมกันพิจารณาถึงเป้าหมายการผลิตข้าวพร้อมในพื้นที่เป้าหมายปีการผลิต 2564/65 ที่ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายเนื่องจากปริมาณน้ำสำหรับการเพาะปลูกข้าวในปีการผลิต 2564/65 (ฤดูนาปี) อยู่ในเกณฑ์น้อย  ภาพรวมปริมาณน้ำที่ใช้การจากอ่างเก็บน้ำทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดเล็ก ขณะนี้มีจำนวน 11,121 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ในขณะเดียวกันกลับมีความต้องการใช้อยู่ที่ 32,339  ล้านลูกบาศก์เมตร ประกอบกับน้ำใน 4 เขื่อนหลักมีปริมาณน้ำใช้การเหลือเพียง 1,457 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่ามีปริมาณฝนน้อย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำเพื่อการอุปโภค/บริโภค และจะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ปลายเดือนมิถุนายนไปจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม

ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมชลประทานในพื้นที่จะต้องมีแผนบริหารจัดการน้ำ จัดส่งน้ำเป็นรอบเวรเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำ และต้องมีแผนจัดสรรน้ำเพื่อประคองปริมาณน้ำที่มีอยู่จนถึงวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ซึ่งนอกจากการจัดรอบเวรเพื่อจัดสรรน้ำให้แก่เกษตรกรแล้วจะต้องขอความร่วมมือเกษตรกรหากจะเพาะปลูกให้พิจารณาใช้น้ำฝนเป็นหลัก และจากการคาดการณ์ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคมเป็นต้นไป น่าจะสามารถเพาะปลูกได้โดยไม่มีผลเสียหายซึ่งเกษตรกรควรเลือกปลูกจ้าวในช่วงดังกล่าวเพื่อป้องกันความเสียหายจากฝนทิ้งช่วงที่เกิดขึ้นในขณะนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง