“เฉลิมชัย”เดินหน้าโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ฝ่าวิกฤตโควิด-19

“เฉลิมชัย”เดินหน้าโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ฝ่าวิกฤตโควิด-19

Share on facebook
Share on twitter
Share on email

“เฉลิมชัย”เดินหน้าโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ฝ่าวิกฤตโควิด19 ผนึก”พาณิชย์”เติมทรัพย์สินประชาชนเพิ่มสินเชื่อช่องทางใหม่ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเกษตรกรรมยั่งยืน (Sustainable Agriculture) เปิดเผยว่า นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ ประสานความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วนในการขับเคลื่อนโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ภายใต้นโยบายเกษตรกรรมยั่งยืนบนแนวทางศาสตร์พระราชาและโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อต่อ ยอดขยายผลนโยบายของรัฐบาลภายใต้วิกฤตโควิด19ในการสร้างโอกาสใหม่ๆให้กับประชาชนและประเทศชาติและเป็นการสร้างแรงจูงใจในการปลูกไม้เศรษฐกิจตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน โดยมีวัตถุประสงค์ของโครงการ 6 ประการ ได้แก่

  1. เพื่อเพิ่มสินเชื่อช่องทางใหม่โดยใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน
  2. เพื่อเพิ่มทรัพย์สิน รายได้ อาชีพและธุรกิจใหม่ๆให้กับประชาชน
  3. เพื่อลดปัญหาหนี้นอกระบบ
  4. เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งในเมืองและนอกเมืองเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน ชุมชนและเมือง แก้ปัญหาPm2.5
  5. เพื่อแก้ปัญหาโลกร้อน(Global Warming)และเพิ่มคาร์บอนเครดิตของประเทศ
  6. เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ(SDG)และยุทธศาสตร์ชาติรวมทั้งแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การเกษตรและเศรษฐกิจ

จากข้อมูลของกองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์รายงาน ณ วันที่ 5 ก.ค. 2564) ว่าตั้งแต่ปี 2562 ถึงปัจจับัน มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 87 สัญญา จำนวน 119,498 ต้น วงเงิน 134,375,912.00 บาท โดยแบ่งเป็น กลุ่มให้สินเชื่อรายย่อย (พิโกไฟแนนซ์ ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 5 หมื่น ถึง 1 แสนบาท) 80 สัญญา คิดเป็น 92% ของสัญญารวมวงเงินค้ำประกัน 4 ล้านบาท กลุ่มสถาบันการเงิน (ธนาคารกรุงไทยและธกส.) 7 สัญญา คิดเป็น 8% ของสัญญา รวมวงเงินค้ำประกัน 130 ล้านบาท ซึ่งแสดงว่าระบบการให้สินเชื่อโดยสถาบันการเงินได้ทำงานแล้วและมีโอกาสในการขยายสินเชื่อโดยใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันได้อีกมากเพราะที่ผ่านมายังดำเนินการได้ไม่มากนัก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา นายเฉลิมชัยในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนเห็นว่าจะสร้างโอกาสที่จะต่อยอดขยายผลให้เร่งขับเคลื่อนจึงให้กระทรวงเกษตรฯ เป็นแกนกลางในการเร่งส่งเสริมปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจบนที่ดินตนเอง สร้างหลักประกัน ให้กับครอบครัว และความมั่นคงในอนาคตควบคู่ไปกับการใช้ไม้ยืนต้นเป็นทรัพย์สินและเป็นหลักประกันสินเชื่อในการเข้าถึงแหล่งเงินทั้งรายย่อยและรายใหญ่โดยเกษตรกร ประชาชนและผู้ประกอบการจะได้รับวงเงินสินเชื่อรายย่อย 50,000 – 100,000 บาท ต่อรายและวงเงินสินเชื่อรายใหญ่จากสถาบันการเงินเช่นธนาคารเป็นต้น

สำหรับการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะผนึกความร่วมมือในการขับเคลื่อนขยายผลต่อยอดโครงการร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) (BEDO) องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ภาคการวิจัย เช่นสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สวก. ภาควิชาการเช่นสถาบันการศึกษาทุกแห่ง ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ภาคเอกชน เช่น หอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร สภาเอสเอ็มอี ภาคเกษตรกรเช่นสภาเกษตรกรแห่งชาติ สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย สมาคมเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร เกษตรกร ภาคท้องถิ่นเช่นอบจ. เทศบาล อบต. กทม. เมืองพัทยา ภาคีเครือข่ายมูลนิธิ องค์กรเอกชนตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

โดยในวันพรุ่งนี้ (15ก.ค.) จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อขับเคลื่อนโครงการธนาคารสีเขียวทันทีซึ่งก่อนหน้านี้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนได้เตรียมการล่วงหน้าโดยมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project) ต่อยอดนโยบาย Green City เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองภายใต้ 5 แนวทางของเกษตรยั่งยืนได้แก่วนเกษตร เกษตรธรรมชาติ เกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสานและเกษตรทฤษฎีใหม่ซึ่งเป็นการบริหารจัดการเชิงโครงสร้างและระบบครอบคลุม 77 จังหวัดซึ่งเป็นอีกกลไกหลักอีกกลไกหนึ่ง รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำฐานข้อมูลทะเบียนไม้ยืนต้นของเกษตรกรทั่วประเทศไว้แล้วซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการบริหารโครงการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงร่วมกับทุกภาคีภาคส่วนต่อไป

ปัจจุบันรัฐบาลได้แก้ไขกฎหมายป่าไม้มาตรา7โดยยกเลิกไม้หวงห้ามบนที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือ สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายที่ดิน สามารถปลูกและตัดไม้เศรษฐกิจได้เหมือนการปลูกพืชเกษตรทั่วไป ทำให้เป็นโอกาสของประชาชนโดยมีไม้เศรษฐกิจทั้งไม้กลุ่มผลไม้กลุ่มสมุนไพรไม้กลุ่มยางไม้ตระกูลกลุ่มไผ่และไม้ยืนต้นอื่นๆ เช่น

1.สัก 2.พะยูง 3.ชิงชัน 4.กระซิก 5.กระพี้เขาควาย 6.สาธร 7.แดง 8.ประดู่ป่า 9.ประดู่บ้าน 10.มะค่าโมง 11.มะค่าแต้ 12.เคี่ยม 13.เคี่ยมคะนอง 14.เต็ง 15.รัง 16.พะยอม 17.ตะเคียนทอง 18.ตะเคียนหิน 19.ตะเคียนชันตาแมว 20. ไม้สกุลยาง 21.สะเดา 22.สะเดาเทียม 23.ตะกู 24.ยมหิน 25.ยมหอม 26. นางพญาเสือโคร่ง 27.นนทรี 28.สัตบรรณ 29.ตีนเป็ดทะเล 30.พฤกษ์ 31.ปีบ 32.ตะแบกนา 33.เสลา 34.อินทนิลน้ำ 35.ตะแบกเลือด 36.นากบุด 37.ไม้สกุลจำปี 38.แคนา 39.กัลปพฤกษ์ 40.ราชพฤกษ์ 41.สุพรรณิการ์ 42.เหลืองปรีดียาธร 43.มะหาด 44.มะขามป้อม 45.หว้า 46.จามจุรี 47.พลับพลา 48.กันเกรา 49.กระทังใบใหญ่ 50.หลุมพอ 51.กฤษณา 52.ไม้หอม 53.เทพทาโร 54.ฝาง 55.ไผ่ทุกชนิด 56.ไม้สกุลมะม่วง 57.ไม้สกุลทุเรียน 58.มะขาม ฯลฯ สามารถนำไม้ยืนต้นมาใช้ เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้รวมถึงการส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาระบบการรับรองมาตรฐานไม้มีค่าทางเศรษฐกิจที่ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศ

บทความที่เกี่ยวข้อง